วันพฤหัสบดีที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2560

ทริปตระเวณอุดรแล้วย้อนไปเวียงจันทน์


หากมีโอกาสไปประเทศลาวทีไร จุดหมายหลักที่เรามักคิดไว้ คือไม่วังเวียงก็เป็นหลวงพระบางเสียส่วนใหญ่ เรามักมองข้ามเหมืองหลวงอย่างเวียงจันทน์ให้เป็นเพียงเมืองทางผ่านเท่านั้น แต่เมืองเล็กๆ อย่างเวียงจันทน์ พอมาได้สัมผัสก็มีความน่าสนใจไม่น้อยไปกว่าเมืองอื่นในประเทศลาวเลยทีเดียว


เริ่มต้นทริปไหว้พระที่เวียงจันทน์ เกิดขึ้นจากพี่บั้ดดี้ขาเที่ยวของแอดได้รางวัลตั๋วเครื่องบินภายในประเทศจากอีเวนท์เปิดตัว Esarn Radio Network มาสองที่นั่ง เราก็มานั่งคิดว่าจะไปไหนกันดี และเนื่องด้วยเวลาที่จำกัดและจุดหมายที่แท้จริงของเราก็ไม่ใช่ในประเทศ จึงตัดสินใจไปลงที่จังหวัดอุดรธานีเพื่อมาต่อรถเข้ามาไหว้พระที่เวียงจันทน์

ทริปนี้เรามีเวลาเพียง 3 วัน 2 คืนเท่านั้น การเดินทางของเราเริ่มต้นในเย็นวันศุกร์เวลาทุ่มกว่าๆ โดยเราจะบินโดยสายการบินแอร์เอเชีย ไปถึงสนามบินอุดรธานีประมาณ 3 ทุ่มนิดๆ ด้วยความที่ถึงดึกจึงได้ทำการหาที่พักและจองให้เสร็จสรรพตั้งแต่อยู่กรุงเทพกันเลย พอเรามาถึงสนามบินอุดรธานีสิ่งแรกเลยต้องหาวิธีเขาไปในตัวเมือง เมื่อเราเดินออกมาจากสนามบินจะมีห้องเล็กๆ อยู่เยื้องขวามือตรงทางออกเป็นป้ายไฟใหญ่ๆ ว่า LIMOUSINE ซึ่งเรามีตัวเลือกอยู่เพียงแค่ 2 แบบคือ เช่า TAXI ราคาเหมาอยู่ที่ 200 บาท นั่งได้ไม่เกิน 4 คน และรถตู้เข้าเมืองราคาตกคนละ 80 บาท แต่วันนี้ไม่มี TAXI เราเลยต้องนั่งรถตู้เข้าไปในเมือง ข้อเสียของรถตู้คือต้องรอให้ลูกค้าครบตามจำนวนที่คนขับพอใจถึงตะออกรถ







โรงแรมที่เราไปพักในคืนวันศุกร์คือโรงแรม City Inn Udonthani (620บาท) อยู่ไกล้กับ บขส. อุดรธานี เพียงใช้เวลาเดินไม่ถึง 3 นาทีเท่านั้น ความสะดวกสบายของห้องพักก็ไม่มีอะไรมาก (ที่นี่ปิด WIFI ตอนเที่ยงคืนนะ เปิดอีกทีตอนเช้า ถ้าใครต้องทำงานโดยใช้เน็ตตอนกลางคืนไม่แนะนำให้พักที่นี่) ถือว่าเอาไว้นอนหลับก็พอ ถึงแม้สิ่งอำนวยความสะดวกจะไม่มากแต่ห้องก็สะอาดใช้ได้ น้องคนดูแลก็เทคแคร์ดี ให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ได้ดีอยู่เหมือนกัน





วางของเก็บสัมภาระเรียบร้อยก็ถึงเวลาตระเวนราตรี อิอิ เนื่องจากที่พักเราอยู่ใกล้จุดศูนย์กลางเราจึงเดินไปไหนมาไหนค่อนข้างสะดวก พวกเราได้เดินไปตลาดนัดขายของต่างๆ ที่อยู่แถวๆ สถานีรถไฟอุดรธานี ของขายก็มีทั้งพวกเสื้อผ้า เครื่องประดับต่างๆ ของกิน และพวกเสริมความงาม แต่เนื่องจากดึกแล้วร้านรวงก็เก็บของกันเกือบหมด มีเพียงตึก UD Tower ที่ยังคงสว่างไสวครึกครื้นอยู่ เราเดินดูของกันเสร็จแล้วก็เริ่มมองหาอะไรกระแทกปากกันสักหน่อย









แน่นอนว่าเมื่อมาถึงแดนดินถิ่นอีสานแล้วก็ต้องหาส้มตำแซ่บๆ จัดกันสักนิส เดินเลียบๆ เคียงๆ แถวสถานีรถไฟอุดรฯ แล้วเราก็เจอร้านส้มตำที่ดูแซ้บม้ากกชื่อร้าน ล้านเก้าปลาเผา (เจ้น้อย) พอเราไปถึงเหลือปลาตัวสุดท้ายพอดี ปลานิลทาเกลือย่างไฟตัวใหญ่มากก ที่นี่มีเมนูส้มตำละลานตาเป็นที่สุด อยากจะสั่งมาอย่างละครกแต่เกรงว่าจะกินไม่หมด เลยตัดใจสั่งตำหอยดองรสชาติจัดจ้านปานกลางและตำกุ้งสดรสจัดมากๆ มาแซ่บกันอย่างละ 1 เรานั่งรอกันชั่วอึดใจคุณป้าใจดีก็เอาส้มตำมาเสริฟ คือไม่ผิดหวังเลย มันอร่อยม๊ากกก ดีจนน้ำตาไหล (มันเผ็ด) แต่อร่อยจริงๆ ปลาก็สดดี เราโซ้ยไปเม้ากันไป จนอิ่ม เชคบิลมา 370 บาท รวมน้ำเปล่าน้ำแข็ง คือว่าคุ้มค่าเพราะมันอร่อย







พอท้องอิ่มจนจุกสมกับเป็นแอดมินเพจสายกิน แล้วก็ถึงเวลากลับห้องพักกันสักที ระหว่างทางเดินกลับก็มีความครึกครื้นอยู่ตลอดไม่ค่อยน่ากลัวเท่าไหร่ มีบาร์และร้านเหล้าอยู่ประปลายตลอดทาง ใครที่ชื่นชอบการแฮงเอ้าท์ตอนกลางคืนนี่ยิ้มกริ่มกันเลยเชียว แต่แอดต้องพักผ่อนก่อนล่ะ เพราะต้องตื่นมาซื้อตั๋วเข้าเมืองเวียงจันทน์แต่เช้าเลยตอนเช้าที่อุดรยังมีอากาศเย็นสบายๆ ทำให้เราเดินไปซื้อตั๋วรถเข้าเมืองเวียงจันทน์และหามื้อเช้ากินกันได้อย่างชิวๆ ไม่ร้อนอบอ้าวมากนัก ตั๋วรถเข้าเวียงจันทน์นั้นจะมีเป็นรอบๆ ตอนที่แอดไปซื้อตอน 7 โมงเช้ายังขายตั๋วเป็นรอบ 8.30 อยู่เลย เนื่องจากเราตั้งใจไว้ว่าจะเดินทางรอบ 9.00 โมง เราจึงหามื้อเช้าทานกันก่อนที่จะออกมาซื้อตั๋วอีกครั้งตอน 8.30



ระแวก บขส. อุดรธานี นั้นมีอาหารเช้าให้เลือกทานมากมาย ไม่ว่าจะเป็นอาหารตามสั่ง American breakfast ไปจนถึงของกินง่ายๆ อย่างโจ๊ก ก๋วยเตี๋ยว และไข่กระทะ เราแวะทานอาหารง่ายๆ กันที่ร้านกาแฟ ยายเดือน ที่นี่ก็มีขายพวก กาแฟ โอวัลติน โกโก้ ขนมปัง มีโปรฯ ขายเป็นชุดแฮปปี้มิลด้วยนะ คือมีไข่กระทะ + ขนมปัง + เครื่องดื่ม ในราคาชุดละ 50 บาท รสชาติอาหารก็ทั่วๆ ไม่ได้วิเศษอะไรแต่ก็ไม่แย่ พอเราอิ่มหมีฯ กันแล้วก็กลับห้องเพื่อเตรียมเก็บของและออกมาซื้อตั๋วตอน 8.30 น.






พอถึงเวลาพวกเราก็ไปซื้อตั๋วที่เค้าเตอร์เดิม แต่ลุงขายตั๋วบอกให้ไปซื้อตั๋วเข้าเมืองเวียงจันทน์ได้ที่รถได้เลย เราก็เดินไปซื้อที่รถปรากฏว่ามีขายจริงๆ ก่อนซื้อตั๋วเราต้องโชว์พาสปอร์ตด้วยนะ ค่าตั๋วเข้าเวียงจันทน์คนละ 80 บาท บวกค่าน้ำคนขายอีก 5 บาทรวมเป็น 85 บาทต่อคน เอาล่ะเมื่อได้ตั๋วก็เตรียมพร้อมเข้าเมืองเวียงจันทน์ละ แต่เดี๋ยวต้องผ่านด่าน ตม. ของทั้งสองประเทศอีก 




เมื่อถึงเวลา 9.00 โมงล้อก็หมุนอย่างตรงเวลา พวกเรางีบพอให้หายง่วงได้สักครู่ก็ถึงด่านตม. ก่อนจะลงไปเจ้าหน้าที่บนรถทัวร์จะแจกใบรายละเอียดการเข้าของของทั้งประเทศไทยและประเทศลาวให้เรากรอก อย่าลืมเตรียมปากกาไปด้วยนะ สำหรับ ตม. ผั่งไทย คนไทยนั้นเพียงแค่โชว์พาสปอร์ต หรือใบผ่านแดนในกรณีที่ไม่มีพาสปอร์ตให้ตม. ตรวจก็ผ่านฉลุย แต่เมื่อผ่านตม. ฝั่งลาว นอกจากจะต้องตรวจพาสปอร์ตแล้วยังต้องไปซื้อบัตรผ่านแดนซึ่งเป็นค่าธรรมเนียมเหยียบประเทศอีกคนละ 55 บาท ที่ทำการก็อยู่ใกล้ๆ กับตม. นั่นแหละ เมื่อได้บัตรผ่านแดนมาแล้วก็นำมาสอดที่ช่องทางผ่านได้เลย ช่องนี้หน้าตาคล้ายๆ ช่องเสียบบัตรผ่าน BTS บ้านเรานี่แหละ พอผ่านช่องเสียบบัตรแล้วจะมีเจ้าหน้าที่ฝั่งลาวเชคพาสปอร์ตเพื่อความชัวร์อีกครั้งก่อนเข้าประเทศลาวอย่างเป็นทางการ






รถทัวร์เดินทางมาถึงตัวเมืองเวียงจันทน์ก็จะจอดส่งเราไว้ที่ บขส. เวียงจันทน์ หรือ VIENTIANE CAPITAL BUS STATION ซึ่งอยู่ห่างจากห้างเวียงจันทน์เซ็นเตอร์ ประมาณ 300 เมตร เมื่อเรามาถึงจะมีคนขับแทกซี่เขามาพูดคุยด้วยเพื่อเสนอบริการ ตอนแรกกะจะเดินไปแต่พี่สกายแลปแกตื้อเหลือเกินเลยถามราคาไป แกเสนอมา 200 เราเลยให้ 100 เดียว แกอิดออดนิดนึงแล้วก็ตกลง




คืนนี้เราพักกันที่โรงแรง Family Boutique Hotel (1240บาท) ที่นี่ก็จองมาจาก Booking.com เช่นเดิม โรงแรมนี้ค่อนข้างดี พนักงานเป็นมิตรมีเวลคัมดริงค์สวยๆ มาเสิร์ฟ เราไปพักกันช่วงที่โรงแรมกำลังรีโนเวทจึงมีปัญหานิดหน่อยแต่ก็ไม่ซีเรียสอะไรมาก ห้องที่นี่สะอาดดีเตียงนุ่มเน็ตแรงห้องน้ำโอเค ทุกอย่างดีแต่ยุงเยอะหน่อยบินไปมา ไม่กัดแต่มันรำคาญ มีน้ำดื่มให้สองขวดและคูปองทานอาหารเช้าในวันรุ่งขึ้น









เราจัดการกับสัมภาระเรียบร้อยท้องก็เริ่มหิว ก็ไม่ลืมเปิดข้อมูลหาร้านต้องห้ามพลาดกันเลยว่ามีร้านไหนแนะนำบ้าง แล้วก็เปิดไปเจอร้านเฝอแซ่บ 2 ซึ่งอยู่ไกล้กับที่พักเราโดยใช้เวลาเดินประมาณ 5 นาที (ทริปนี้เดินกันตลอดทั้งทริปเลยจ้า) พอถึงร้านเราก็สั่งเฝอมาทานมีให้เลือกทั้งหมู และเนื้อ จะสั่งพิเศษเขาจะเรียกว่าถ้วยใหญ่ ธรรมดาเค้าเรียกว่าถ้วยน้อย ที่นี่เขามีสำรับผักมาให้แบบจัดเต็มมาก ถ้าไม่พอขอเติมได้ อาหารที่นี่เสิร์ฟพร้อมกับชาเย็นๆ ชื่นใจจริงๆ แอดสั่งเฝอเนื้อพิเศษมาราคาตกอยู่ที่ชามละ 100 กว่าบาทถือว่าไม่ถูกเลยนะเนี่ย





หนังท้องตึงหนังตาก็หย่อน ไม่ใช่สิเราต้องไปไหว้พระก่อน แต่ก่อนไปไหว้พระเจอร้านแลกเงินก็เลยแลกไว้สัก 1000 บาท เพราะมีคนแนะนำว่าจ่ายเงินกีบคุ้มกว่าจ่ายเป็นเงินไทย





วัดแรกที่เราไปไหว้พระถือว่าเป็นวัดที่มีชื่อเสียงในเวียงจันทน์มากใครมาเที่ยวเวียงจันทน์ จะมาเองหรือมากับทัวร์ก็ต้องมาวัดนี้ วัดสีสะเกด วัดสีสะเกดเป็นวัดที่มีพระพุทธรูปมากที่สุดในนครหลวงเวียงจันทน์ ว่ากันว่าอดีตเคยมีพระพุทธรูปมากกว่าแสนองค์เลยทีเดียว แต่ปัจจุบันหลงเหลือพระพุทธรูปเพียง 6,000 - 10,000 องค์เท่านั้น นอกจากนี้วัดสีสะเกดยังเคยเป็นที่ประทับของอดีตสมเด็จพระสังฆราชของประเทศลาวด้วย ภายในโบสถ์ห้ามถ่ายรูปด้วยนะแอดกำลังเล็งอยู่เชียวแต่ได้ยินเสียงตะโกนมาว่า ห้ามถ่ายฮูปเด้อ หุๆ อายจุง ค่าเข้าชมสถานที่ราคา 10,000 กีบจ้า











เยื้องๆ กับวัดสีสะเกด มีสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงอีกที่หนึ่งนั่นคือ หอพระแก้ว หอพระแก้วนี้เป็นที่เคยประดิษฐานพระแก้วมรกตในอดีต หลังจากที่พระแก้วมรกตใด้ถูกอัญเชิญลงมาประทับที่กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย หอพระแก้วก็เหลือไว้เพียงพระแท่นที่ประดิษฐานพระแก้วมรกต ว่ากันว่าหอคำแก้วมีความศักดิ์สิทธิ์ในเรื่องการขอพรด้านการงานให้ก้าวหน้า หอพระแก้วในปัจจุบันใด้ถูกบูรณะใหม่ทั้งหมดในปี พ.ศ. 2480-2483 เหลือเพียงบานประตูใหญ่ทั้งสองข้างเท่านั้นที่เป็นของดั้งเดิม ค่าเข้าชมสถานที่ 10,000 กีบ






ด้วยอากาศที่ร้อนสุดๆ พลังแดดตอนกลางวันที่ร้ายกาจจริงๆ นอกจากจะทรมานร่างแล้วยังกระหายน้ำมากอีกต่างหาก พวกเราจึงหาร้านกาแฟดับกระหายคลายร้อนสักหน่อย ระหว่างทางเราก็เดินผ่านหอคำ ซึ่งเป็นที่รับรองอาคันตุกะที่มาพำนักที่ประเทศลาวแต่ไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวเข้าชม นอกจากนี้เรายังผ่านห้องสมุดชุมชนและสถานีตำรวจที่มีความแปลกตาเมื่อเทียบกับเมืองไทยอีกด้วย







และแล้วก็มาถึง นี่เลย! Joma Bekery Cafe สถานที่ที่ช่วยเราไว้จากความร้อนยามบ่ายเช่นนี้ ร้านโจมานั้นมีบรรยากาศคล้ายร้านกาแฟบ้านเรานี่แหละ แอร์เย็นๆ พร้อมกับกลิ่นกาแฟที่อบอวลมันจากเหมาะกับการนั่งทอดหงุ่ยเสียจริง เราจัด คาปูชิโนเย็น และโจมาไอซ์คอฟฟี่ กับชีสเค้กมะม่วงมาทาน รสชาติถือว่าดีมาก ส่วนคาแฟนั้นโจมาไอซ์คอฟฟี่ถือว่าเด็ด คอกาแฟต้องห้ามพลาดเลยเชียว ใครต้องการเล่น Wifi ก็สามารถขอรหัสจากบริกรได้เลย ของว่างมื้อนี้เราโดนไป 75,000 กีบจ้า ราคาก็พอๆ กับร้านกาแฟดีๆ ในไทยนี่แหละ อ้อที่นี่มี True Coffee ด้วยนะเป็นอีกทางเลือกสำหรับคนรักกาแฟ












อากาศเริ่มเย็นขึ้น เวลาก็เช่นกัน เราจึงเดินเตร็ดเตร่เพื่อตามหาวัดองค์ตื้อวรวิหาร ซึ่งมีระยะห่างจากหอพระแก้วประมาณ 1 กิโลเมตร วัดนี้มีพระพุทธรูปที่ใหญ่ที่สุดในเวียงจันทน์ โดยพระพุทธรูปดังกล่าวมีน้ำหนัก 1 ตื้อ หรือ 12,000 กิโลกรัม จึงได้นำมาตั้งเป็นชื่อวัดองค์ตื้อวรวิหาร นอกจากนี้วัดองค์ตื้อยังเป็นที่ตั้งของสถานศึกษาของพระและเณรทั่วประเทศลาวอีกด้วย แอดได้มีโอกาสสนทนากับพระในอุโบสถ ท่านเล่าว่าสมัยก่อนวัดองค์ตื้อเป็นวัดที่มีขนาดใหญ่มาก แต่ปัจจุบันมีการตัดถนนผ่านวัดไปมาจึงทำให้วัดแบ่งได้เป็น 4 วัดย่อยคือ วัดองค์ตื้อ, วัดอินเป็ง, วัดมีไซ และ วัดหายโสก แต่วัดที่เป็นวัดหลักเลยคือวัดองค์ตื้อ เรื่องราวก็เป็นมาเช่นนี้














เหลือบดูนาฬิกาก็เกือบจะ 5 โมงเย็นแล้ว เราก็เดินท้าแสงแดดตอนเย็นเพื่อไปให้ถึงไฮไลต์ของเวียงจันทน์ นั่นคือประตูไซ หรือประตูชัยนั่นเอง ประตูชัยนั้นได้สร้างขึ้นเป็นอนุสรณ์สถานเพื่อระลึกถึงประชาชนที่สละชีวิตในสงครามก่อนการปฏิวัติของคอมมิวนิสต์ โดยใช้ปูนซีเมนต์ที่ทางอเมริกานำมาสร้างสนามบิน แต่ดันแพ้สงครามอินโดจีนเสียก่อน จึงใช้ปูนซีเมนต์ที่มีสร้างเป็นประตูชัยนี่แหละ รูปลักษณ์ภายนอกก็ได้รับอิทธิพลมาจากประตูชัยของฝรั่งเศส แต่การตกแต่งภายนอกจะแสดงให้เห็นถึงความเป็นลาวอย่างเด่นชัด นักท่องเที่ยวสามารถขึ้นไปชมด้านบนได้แต่ต้องเสียค่าเข้าด้วย ช่วงเย็นๆ จะมีประชาชนออกมาเดินเล่นหรือออกมาพบปะกันหนาตาเลยเชียว แอดก็เดินเล่นพอหอมปากหอมคอก็ต้องทำเวลาเพื่อนเดินไปจุดหมายต่อไปก่อนที่พระอาทิตย์จะลับฟ้า








สถานที่สำหรับเดินเล่นเย็นนี้ก่อนอาทิตย์จะตกดินคือสวนสาธารณะและอนุสาวรีย์เจ้าอนุวงศ์ ที่นี่ห่างจากประตูชัยเป็นระยะทาง 1.6 กิโลเมตร โอ้โหแอดนี่เดินขาลากเลย พอมาถึงสวนสาธารณะจะมีผู้คนมากมายมารวมตัวกันที่นี่ บ้างก็มาเต้นแอโรบิก เล่นกีฬา พบปะพูดคุยพักผ่อนหย่อนใจกันที่นี่ เดินเข้าไปด้านในเราจะพบกับอนุสาวรีย์เจ้าอนุวงศ์ ซึ่งทางการลาวได้สร้างไว้เพื่อสักการะและระลึกถึงพระมหากษัตริย์แห่งอนาจักรล้านช้างองค์ที่ 5 ซึ่งเป็นองค์สุดท้าย สวนสาธารณะและอนุสาวรีย์เจ้าอนุวงศ์นั้นตั้งอยู่ติดกับแม่น้ำโขงเลยล่ะ มองข้ามฝั่งไปก็จะเป็นประเทศไทย จังหวัดหนองคายนั่นเอง 





เราเดินตามทางเลียบแม่น้ำโขงเรื่อยๆ ก็จะเห็นร้านค้าต่างๆ แลดูคล้ายตลาดนัดมีขายของกิน ของใช้ เสื้อผ้า เครื่องประดับ และอีกหลากหลายอย่างมาก แอดแวะซื้อน้ำมะพร้าวปั่นมากิน รสชาติไม่เหมือนของไทยเลย มันเหมือนกะทิปั่นมากกว่ามันๆ อร่อยดี เรานั่งริมโขงคุยกันถึงแพลนพรุ่งนี้สักพักก็อยู่ไม่ไหว ยุงดุสุดๆ จึงขอไปตั้งหลักที่ห้องพักก่อนค่อยออกมาหามื้อเย็นทาน









หลังจากเดินหลงมาพักใหญ่ (ฮาา) ก็มาถึงที่พัก จัดแจงอาบน้ำอาบท่าเพื่อที่จะไปหามื้อเย็นทาน แรกๆ ก็คิดไม่ออกว่าจะทานอะไรเพราะใกล้ๆ ที่พักไม่ค่อยมีร้านอะไรน่าสนใจเลย และแล้วก็เจอรีวิวร้านโกดัง ที่เป็นบาร์แอนด์เรสเตอร์รอง คล้ายๆ บ้านเรา ที่สำคัญคือมีดนตรีสดด้วย เราจึงตกลงไปกินมื้อเย็นที่ร้านโกดังกัน ที่ตั้งของร้านอยู่ห่างจากพี่พักประมาณ 400 เมตร พอไปถึงคือร้านดีมาก ตกแต่งแนวโกดังเก่าๆ บวกกับสไตล์ลอฟท์ มันดูลงตัวมากจริงๆ เท่าที่เห็นจะมีสองส่วน ส่วนที่เป็นคาเฟ่จะเป็นห้องแบบเปิด และส่วนที่เป็นบาร์จะเป็นห้องแบบปิด แอดก็เลือกเข้าไปในส่วนบาร์เลยเพราะตั้งใจจะมาฟังดนตรีสดอยู่แล้ว คนที่มาเที่ยวจะเป็นวัยทำงานเสียส่วนใหญ่ วันที่แอดไปมีมาฉลองวันแต่งงานกันที่นี่ด้วย มีขอเพลงหน้ากากทุเรียนกันด้วยอ่ะ ฮิตไปถึงลาวเราเชียวพี่ทุเรียน









อาหารที่นี่ก็ไม่ธรรมดานะมีตั้งแต่ Fish and chips ไปจนถึง Lobster Thermidor กันเลยเชียว แอดก็สั่งอาหารเบสิคๆ มาทานเป็นแกล้มเบียร์ลาวและฟังดนตรีสดๆ ปล่อยอารมณ์ให้หายเหนื่อยจากการเดินเมื่อตอนกลางวันที่ผ่านมา เราเจอผู้จัดการที่ร้านมาทักทาย พอดีพี่เขาเป็นคนไทยก็เลยคุยกันเสียถูกคอเลย เช็คบิลมาราคาก็ถือว่าไม่แพงนะ ถ้ามาเวียงจันทน์ครั้งหน้าต้องไม่พลาดร้านนี้แน่ๆ เรากลับห้องประมาณเที่ยงคืน จริงๆ แล้วเขาขยายเวลาปิดถึงตี 2 เลย ไม่ได้เข้มงวดเหมือนบ้านเรา (หรือป่าว อิอิ) แต่ด้วยความเหนื่อยล้าจึงขอพาร่างไปพักเพื่อเตรียมตัวเดินทางกลับในวันพรุ่งนี้ดีกว่า








เช้าวันสุดท้ายในเวียงจันทน์ เราตื่นช้ากว่าวันก่อนๆ เพราะไม่มีแพลนจะไปเที่ยวที่ไหนเนื่องจากไม่ทันเวลากลับแน่ๆ เราล้างหน้าล้างตาและไปทานอาหารเช้าที่โรงแรมจัดเตรียมให้โดยไม่ได้คาดหวังใดๆ พอมาเห็นโต๊ะอาหารเช้าแบบบุฟเฟต์นี่ หืมมเกินความคาดหมายแฮะ นอกจากจะมีไลน์อาหารให้เลือกมากมายแล้วยังรสชาติอร่อยอีกด้วย ไม่ธรรมดาเลย มีเครื่องดื่มพวกชา กาแฟสดให้บริการด้วยนะ 












ทานอาหารเช้าเสร็จเราก็ทำการเช็คเอาท์โรงแรมเพื่อจะไปซื้อตั๋วรถทัวร์กลับอุดรธานี ระยะทางจาก Family Boutique Hotel ถึงท่ารถ Vientiane Capital Bus Station ห่างกันประมาณ 1 กิโลเมตร ถือว่าเรียกเหงื่อได้พอสมควร รอบรถมีหลายรอบมากเรียกได้ว่าเกือบจะทุกชั่วโมง ค่าตั๋วรถอยู่ที่ราคา 22,000 กีบ แต่ถ้าหากเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์หรือวันพิเศษของไทยชาร์จอีก 2,000 กีบนะจ้ะ แอดก็ไม่รู้เหมือนกันว่าขากลับนั้นมีรถทัวร์ของไทยหรือไม่ แต่ขากลับแอดได้นั่งรถทัวร์ลาว อยากจะบอกว่ามันนรกมากกก มันแคบกว่าแถมแอร์ยังไม่เย็นอีกต่างหาก นี่แอดนั่งไปบ่นไปอึดอัดชิบ แต่ก็ทนนั่งมาได้ ถ้ามีตัวเลือกรถไทยตอนซื้อตั๋วให้เลือกซะนะ 












ระหว่างรอเราก็ไปเดินเล่นห้าง Vientiane Center ซึ่งเป็นห้างที่ใหญ่ที่สุดในเวียงจันทน์ดูสักหน่อย อารมณ์ก็เหมือนเดินห้างต่างจังหวัดบ้านเรานะ มีของให้เลือกซื้อเลือกช้อปปิ้งมากมาย








เมื่อเดินเสร็จเกาก็แวะกินกาแฟแก้กระหาย Cafe Amazon ที่อยู่หน้าห้างก่อนที่จะเดินไปขึ้นรถทัวร์






ขากลับก็ต้องผ่านตม. ไทย และลาวอีกตามเคย ขากลับนั้นต้องซื้อบัตรออกจากลาวอีกคนละ 45 บาท หลังจากผ่านด่านตม. ลาวแล้วเราก็กลับถึงอุดรธานีโดยสวัสดิภาพ




 
จากบขส.อุดรธานี เราต้องหารถเพื่อเดินทางไปยังสนามบินนานาชาติอุดรธานี พวกเรานั่งพักเหนื่อยกันที่เซ็นทรัลอุดรธานีสักครู่ จากนั้นก็หา TAXI ไปสนามบิน ราคาเหมาอยู่ที่ 150 บาท พวกเราไม่รู้เลยว่าปกติมันราคาเท่าไหร่ แต่ด้วยความเหนื่อยบวกกับจะถึงเวลาเดินทางแล้วจึงโอเค 



ทริปนี้ถือว่าเป็นทริปที่สั้นๆ แต่สนุกมาก คือมันมีหลายเรื่องให้เล่าเลยล่ะแต่แอดกลัวว่าจะยาวเกินไป ทั้งนี้ทั้งนั้นหากเรามีเพื่อนร่วมเดินทางที่ดี ไม่ว่าเป็นการเดินแบบไหนมันก็จะเป็นการเดินทางที่ดีใด้ทั้งนั้น แอดเชื่อแบบนี้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น