วันอังคารที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

แบกเป๋าเที่ยวแบบไร้แพลนแดนอยุธยา


เชื่อว่าหลายๆ คนคงเคยมีประสบการณ์ทริปไฟไหม้ ทริปเร่งด่วน หรือจะทริปอะไรก็แล้วแต่ที่เป็นทริปที่เกิดขึ้นอย่างปัจจุบันทันด่วน ด่วนเกินกว่าที่คุณจะตั้งตัวได้ทันกันมาบ้าง (แต่ก็ทันแหละขอให้ได้เที่ยวอะนะ) เราก็มีประสบการณ์แบบนั้นเหมือนกัน

แต่ทริปครั้งนี้มีข้อจำกัดหลายๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็นเวลาในการออกทริป การเตรียมตัว เตรียมแพลนต่างๆ ที่สำคัญคือเงิน อันนี้สำคัญมากๆ ยิ่งในช่วงปลายเดือนแบบนี้เราต้องประหยัดให้ได้มากที่สุด (แต่ไม่ถึงขั้นโบกรถ หรือนอนวัดอะไรขนาดนั้นนะ)

เรื่องของเรื่องก็คือพี่จากต่างจังหวัดนางมาเข้าร่วมสัมมนาที่กรุงเทพฯ และด้วยความขี้เที่ยวของพวกเราเมื่อเจอกันทีไรก็ได้เวลาหาทริปกันทุกที แต่เนื่องด้วยมีเวลาแค่วันอาทิตย์วันเดียว แล้วเราจะไปไหนกันดีล่ะ? อากู๋ช่วยคุณได้ มันก็มีตัวเลือกอยู่ 3-4 ที่ ไม่ว่าจะเป็นบางกระเจ้า ชุมชนหัวตะเข้ ตลาดน้ำอัมพวา และอยุธยา แต่ละที่น่าเที่ยวทั้งนั้น แต่สุดท้ายก็สรุปกันว่าจะเดินทางไปเที่ยวอยุธยากัน 

เอาจริงๆ ตอนแรกนี่ไม่มีแพลนในหัวเลยว่าถึงอยุธยาแล้วเราจะไปเตร็ดเตร่อยู่ตรงไหน ว่างเปล่ามาก เอาเป็นว่าทริปนี้ก็ตั้งใจว่าเป็นทริปด้นสด คิดสดๆ อยากไปไหน นั่งรถอะไร กินอะไรก็ดูหน้างานละกัน เมื่อตกลงกันแบบนี้แล้วสิ่งแรกที่เราจะทำคือเราจะต้องเดินทางกันเย็นวันเสาร์เลยจ่ะ เพราะคิดว่าหากเดินทางวันอาทิตย์จะไม่มีเวลาเที่ยวกันเต็มที่ แล้วจะไปยังไงล่ะ? ก็รถตู้ไง ค้นหาข้อมูลอากู๋ก็มีแต่บอกให้ไปขึ้นที่อนุเสาวรีย์ฯ แต่คิวรถตู้มันย้ายแล้วไม่ใช่เหรอ? คุ้นๆ ว่าย้ายไปหมอชิต เอาวะไปให้ถึงหมอชิตแล้วค่อยว่ากัน 555+ พอไปถึงหมอชิตก็ถามพี่คิวรถแถวนั้นได้เลย คิวรถตู้เขามีจัดไว้เป็นระเบียบมาก เราก็เลือกไปคันที่ออกเร็วสุดละกัน สนนราคาค่ารถตู้ไปอยุธยาตกคนละ 60 บาทเท่านั้น






 
พอรถออกจากหมอชิตเราทั้ง 3 คนก็ต้องมาคิดกันแล้วว่าพอถึงที่หมายแล้วจะไปนอนที่ไหน เพราะไปถึงก็ค่อนข้างดึก เดชะบุญที่พี่ร่วมทริปนางมีเพื่อนเก่าอยู่อยุธยาและเพื่อนคนนั้นก็สามารถจัดหาที่พักให้กับพวกเราได้อย่างทันท่วงที ต้องขอขอบคุณพี่โอ้มา ณ ที่นี้ด้วย เป็นอันว่าคืนนี้เราจะไปพักกันที่บ้านหลวงหาญกัน การเดินทางก็ไม่ยาก เพียงแค่บอกพี่คนขับรถตู้ว่าจอดที่ท่ารถหน้า 7-eleven ก็โอเคแล้ว










เมื่อมาถึงที่พักก็ประมาณสองทุ่มกว่า เดินแป้บเดียวก็ถึง หน้าโรงแรมมีป้ายชัดเจน สิ่งแรกที่เราสัมผัสเมื่อเข้ามาในบริเวณโรงแรมคือความสงบ (แต่ห้องเต็มทุกห้องนะ) ผู้มาเข้าพักส่วนใหญ่จะเป็นชาวต่างชาติ ที่เห็นก็จะนั่งคุยกันหรืออ่านหนังสือกันหน้าระเบียงบ้านอย่างเงียบๆ ในส่วนของ Reception จะอยู่ตรงศาลากลางน้ำ อันนี้เราว่าเป็นจุดไคลแมกซ์ของทางโรงแรมเลย เพราะมันดูชิกและชิลด์มากๆ บวกกับศาลาสไตล์ไทยๆ ของตกแต่งก็ดูคลาสสิกมากๆ มีชา กาแฟ เครื่องดื่มร้อนให้บริการ 24 ชั่วโมงเลยทีเดียว

ภายในห้องพักนั้นค่อนข้างจะมีอุปกรณ์ต่างๆ ครบครัน มีน้ำดื่มใส่ตู้เย็นไว้ให้ 2 ขวด มีสบู่แชมพู มีไดร์เป่าผม นอกระเบียงก็มียากันยุงมาให้ด้วย เพราะระเบียงยุงค่อนข้างเยอะ คุณลุงที่ดูแลที่พักก็น่ารักมาก แกให้ข้อมูลได้ดีเลยที่เดียว ไม่ว่าจะเป็นที่กิน ที่เที่ยว และบริการรถสามล้อ และจักรยาน สนใจสามารถติดต่อที่พักได้ที่นี่เลย www.facebook.com/baanluangharn












พอคุณลุงให้ข้อมูลและพาพวกเรามายังห้องพักเรียบร้อยก็ขอตัวไปหาอะไรกินกินหน่อย เพราะหิวมากกก คุณลุงแนะนำว่าแถวนี้มีชาบูด้วย หรือไม่ก็ร้านก๋วยเตี๋ยวก็มีเหมือนกัน เราจึงพุ่งตรงไปยังร้านชาบูกันเลย เดินมานิดหน่อยก็เจอร้านชาบูนางใน คือตอนนั้นหิวมากสั่งช้างมาก็หมด พอมาถึงก็พบความสะเทือนใจอย่างมาก คืออีก 10 นาทีครัวปิด -*- เราจึงตัดใจและหาอาหารร้านใหม่ทานกัน ข้ามถนนมาอีกฝั่งที่มี 7-eleven เดินไปทางขวาอีกนิดก็เจอร้านราชาบะหมี่ ตอนเราเข้าไปสั่งของก็เกือบหมดแล้วล่ะ แต่ก็ยังพอเหลือบางเมนูให้เราได้ทานกันอยู่บ้าง แถวนั้นมีของกินหลากหลายอยู่นะ มีพวกโรตี และใส้กรอกอีสานจิ๋วขายอยู่แถวนั้นด้วย พอกินเสร็จก็มานั่งคุยกันว่าพรุ่งนี้จะไปไหนกันบ้าง พอคุยกันจนดึกสรุปว่าแพลนเที่ยวของวันพรุ่งนี้ก็ยังไม่สรุป แต่ยึดพิพิธภัณฑ์ของเล่น เกริก ยุ้นพันธ์ เป็นที่หลักไว้ก่อนส่วนที่อื่นค่อยว่ากันพรุ่งนี้ 



ตื่นเช้าขึ้นมาก็พบกับเช้าที่สดใส อากาศดีมากๆ เลยเราก็เตรียมตัวไปทานอาหารเช้าที่ทางบ้านหลวงหาญเตรียมไว้ให้ แต่ละอย่างน่ากันทั้งนั้น มีทั้งข้าวต้มหมูสับ ใข่กระทะ ซาลาเปา นอกจากนี้ยังมีอาหารฝรั่งจำพวกขนมปัง ซีเรียล นม เตรียมไว้ให้ด้วยพวกเราเปรมกันมากอาหารจัดว่าดีเลยทีเดียวแหละกว่าจะออกจากที่พักก็เกือบเที่ยงแน่ะ ก่อนมาจากที่พักเรายังไม่สรุปเลยว่าจะเดินทางไปเที่ยวยังไง 555+ ก็มีอยู่ 3 ออปชั่นอ่ะนะ รถจักรยาน ซึ่งมันก็ร้อนมาก เหมารถตุ๊กๆ ก็แพงอีก ชั่วโมงละ 200 เหมาทั้งวัน 1000 บาท แม้เราจะเหมาตอนเที่ยงก็คิด 1000 บาท อันนี้ไม่โอเครเลย และตัวเลือกสุดท้ายก็คือมอเตอร์ไซค์




ในตอนแรกก็จะหาเช่ามอเตอร์ไซค์แถวแถวๆ ที่พักแหละ แต่ไม่มีให้บริการเลยจึงเดินออกไปหากาแฟกินแล้วถามบาริสต้า น้องบอกว่าต้องไปที่สถานีรถไฟ เราก็เลยนั่งมอไซค์รับจ้างมุ่งหน้ากันไปที่สถานีรถไฟอยุธยากันเลย พอถึงสถานีรถไฟก็มีพี่วินตุ๊กๆ มาถามว่าเราสนใจไหม แต่ราคาก็ยังแพงอยู่ดี เที่ยงถึง 5 โมงเย็น 800 บาท ราคาไม่เท่าไหร่แต่เราไม่ชอบวิธีการคุยของเฮียแกเลย เหมือนขู่และไม่จริงใจยังไงก็ไม่รู้ สรุปเลยไม่เอา



   




ตรงข้ามสถานีรถไฟจะมีร้านเช่ามอเตอร์ไซค์อยู่หาไม่ยากมีป้ายชัดเจน เข้าไปถามได้เลยค่าเช่าเริ่มต้นที่ 200 บาท แต่เราเช่าในราคา 250 บาทฟรีน้ำมันเต็มถัง ร้านปิดประมาณ 6 โมงเย็นต้องเอารถมาคืนก่อน 6 โมงเย็นนะ เวลาจะขับไปไหนไกลๆ ก็ประมาณเวลาไว้ด้วย พอได้รถมอเตอร์ไซค์ปุ๊บก็ Google Map เลย ป้ายหน้า พิพิธภัณฑ์ของเล่น เกริก ยุ้นพันธ์ จ้า

ร้านเช่ามอเตอร์ไซค์

ร้านเช่ามอเตอร์ไซค์


ในอยุธยาสถานที่ท่องเที่ยวจะอยู่ใกล้ๆ กันอ่ะ สามารถเที่ยวต่อๆ กันได้เลย เว้นแต่เราอยากไปในที่ ๆ ฉีกจากตัวเมืองจริงๆ พอเรามาถึง พิพิธภัณฑ์ของเล่น เกริก ยุ้นพันธ์ ก็ทำการซื้อตั๋วเข้าชมคนละ 50 บาทสำหรับผู้ใหญ่ และสำหรับเด็กราคา 20 บาท เท่านั้น (เปิดให้เข้าชมทุกวันอังคาร-วันอาทิตย์ เวลา 09.00-16.00 น. หยุดทุกวันจันทร์)



พิพิธภัณฑ์ของเล่นเกริกยุ้นพันธ์

พิพิธภัณฑ์ของเล่นเกริกยุ้นพันธ์


พิพิธภัณฑ์ของเล่นเกริกยุ้นพันธ์


พิพิธภัณฑ์ของเล่นเกริกยุ้นพันธ์


พิพิธภัณฑ์ของเล่นเกริกยุ้นพันธ์
ด้านในตัวอาคารจะมีอยู่ด้วยกัน 2 ชั้น ชั้นที่ 1 จะเป็นของเล่นเก่าในสมัยสุโขทัย อยุธยาและสมัยรัตนโกสินทร์ นอกจากของเป็นแล้วยังมีพวกของเก่าเก็บต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นกระปุกออมสิน จาน ชาม แก้ว ฯลฯ ส่วนชั้นที่ 2 เป็นของเล่นเก่าจากทั่วทุกมุมโลกไม่ว่าจะเป็นตุ๊กตา ของเล่นสังกะสี ตุ๊กตาไขลานต่างๆ พวกพระเครื่องหรือเหรียญเก่าๆ ก็มีนะ ในตัวพิพิธภัณฑ์นั้นเราสามารถเดินชมและถ่ายรูปได้เรื่อยๆ เพราะอากาศถ่ายเทสะดวกเย็นสบายแม้ไม่มีแอร์ นอกจากตัวอาคารที่จัดแสดงของเล่นต่างๆ แล้ว ด้านหน้าทางเข้าพิพิธภัณฑ์ยังมีในส่วนของค่าเฟ่ ซึ่งขายอาหารด้วยสังเกตุง่ายๆ จะมีสไปเดอร์แมนเกาะอยู่บนหน้าร้าน
พิพิธภัณฑ์ของเล่นเกริกยุ้นพันธ์

พิพิธภัณฑ์ของเล่นเกริกยุ้นพันธ์


พิพิธภัณฑ์ของเล่นเกริกยุ้นพันธ์


พิพิธภัณฑ์ของเล่นเกริกยุ้นพันธ์


พิพิธภัณฑ์ของเล่นเกริกยุ้นพันธ์


พิพิธภัณฑ์ของเล่นเกริกยุ้นพันธ์


พิพิธภัณฑ์ของเล่นเกริกยุ้นพันธ์

พิพิธภัณฑ์ของเล่นเกริกยุ้นพันธ์

จากนั้นเราขับรถออกจากพิพิธภัณฑ์ของเล่นตรงไปในซอยเรื่อยๆ ก็จะสามารถลัดไปวัดวรเชษฐาราม และวัดโลกยสุธารามได้ด้วย วัดวรเชษฐารามนั้นเป็นอารามหลวงเก่าแก่ที่มีอายุมากกว่า 400 ปี วัดนี้เคยเป็นที่ถวายเพลิงพระบมศพและบรรจุพระอัฐิของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชอีกด้วย

วัดวรเชษฐาราม อยุธยา

วัดวรเชษฐาราม อยุธยา

ถัดไปอีกนิดก็จะเป็นวัดโลกยสุธาราม ถ้านึกถึงวัดโลกยสุธารามจะต้องนึกถึงพระนอนที่ใหญ่ที่สุดในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งวัดนี้มีชื่อเรียกอีกชื่อนึงว่าวัดพระนอน ความโดดเด่นของพระพุทธไสยาสน์นี้ทำให้มีนักท่องเที่ยวต่างชาติมาเยี่ยมชมกันเยอะมวากมาก ส่วนใหญ่ก็จะเห็นญี่ปุ่น เกาหลี และจีน

วัดโลกยสุธาราม อยุธยา


วัดโลกยสุธาราม อยุธยา
หลังจากเตร็ดเตร่ที่วัดโลกยสุธารามเสร็จแล้วเราก็มุ่งตรงไปที่สุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุดก่อนจะกลับกรุงเทพฯ กัน คือวัดพุทไธศวรรย์ ระหว่างทางก็ได้ผ่านเจดีย์พระศรีสุริโยทัย ดูจากข้างนอกแล้วมีความร่มรื่นมาก ด้วยความที่อากาศร้อนกำลังแผดผิวอยู่เราก็ขอเข้าไปหลบแดดสักแป้บจะได้เข้าไปกราบไหว้รูปหล่อสมเด็จพระสุริโยทัยด้วย

เจดีย์พระศรีสุริโยทัย


เจดีย์พระศรีสุริโยทัย


เจดีย์พระศรีสุริโยทัย


เจดีย์พระศรีสุริโยทัย


เจดีย์พระศรีสุริโยทัย


เจดีย์พระศรีสุริโยทัย

เจดีย์พระศรีสุริโยทัย แห่งนี้ถือเป็นโบราณสถานที่สำคัญแห่งหนึ่งในจังหวัดอยุธยาเพราะเป็นอนุสรณ์สถานของวีรสตรีไทยพระองค์แรก ว่ากันว่าเจดีย์องค์นี้อาจบรรจุพระบรมอัฐิของสมเด็จพระศรีสุริโยทัยไว้ด้วย เมื่อกราบไหว้เจดีย์พระศรีสุริโยทัยเรียบร้อยแล้วระหว่างทางไปวัดพุทไธศวรรย์ก็มีโบถส์แห่งหนึ่งตั้งตระหง่านสวยงาม ปกติเรามาเที่ยวอยุธยามักนึกถึงแต่วัดใช่ป่ะ แต่นี่มีโบสถ์ด้วยแฮะแล้วเป็นโรงเรียนด้วยนะ ได้ไปอ่านมาเขาบอกว่าโบสถ์เซนต์ยอเซฟเป็นโบสถ์สไตล์ฝรั่งเศส และเป็นโบสถ์แห่งแรกในประเทศไทย ซึ่งได้เริ่มก่อตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2205 ปัจจุบันได้มีการบรรจุศพของพระสังฆราชปีแอร์ลอมแบรต์ เดอ ลาม็อตและพระสังฆราชหลุยส์ ลาโน ไว้ภายในโบสถ์นี้ด้วย

โบสถ์เซนต์ยอเซฟ


โบสถ์เซนต์ยอเซฟ


โบสถ์เซนต์ยอเซฟ


โบสถ์เซนต์ยอเซฟ


โบสถ์เซนต์ยอเซฟ


โบสถ์เซนต์ยอเซฟ


โบสถ์เซนต์ยอเซฟ


โบสถ์เซนต์ยอเซฟ
เอาล่ะ จากโบสถ์เซนต์ยอเซฟไปวัดพุทไธศวรรย์ก็ไม่ไกลมากแล้ว แล้วเราก็หิวมากด้วย เมื่อถึงวัดพุทไธศวรรย์เราก็จัดก๋วยเตี๋ยวเรือข้างวัดกันเลย ร้านก๋วยเตี๋ยวมีปลากรอบขายด้วยเราก็ไม่แน่ใจว่าใช่หรือป่าว แต่เหนียวใช้ได้เลย 555+



เมื่ออิ่มพุงกันแล้วก็เข้ามาไหว้พระกันเถอะ วัดพุทไธศวรรย์นั้นเป็นอารมหลวงที่มีขนาดใหญ่และมีชื่อเสียงอีกวัดหนึ่งในอยุธยา สิ่งที่น่าสนใจของวัดนี้คงจะเป็น ปรางค์พระประธานองค์ใหญ่ที่มีศิลปะแบบขอมที่มีเอกลัษณ์และสวยงามมาก

วัดพุทไธศวรรย์


วัดพุทไธศวรรย์


วัดพุทไธศวรรย์


วัดพุทไธศวรรย์


วัดพุทไธศวรรย์



อันที่จริงแล้ววัดพุทไธสวรรค์มีชื่อเสียงอีกอย่างนึงก็คือเหล็กไหลหลวงปู่หวล อีกทั้งยังมีพระพุทธรูปเหล็กไหลเงินยวงที่ใหญ่ที่สุดในโลกอยู่ที่วัดนี้อีกด้วย


พระพุทธรูปเหล็กไหลเงินยวงที่ใหญ่ที่สึดในโลก (องค์สีเงิน)
วันนี้อากาศค่อนข้างดี ไม่ร้อนมาก เราจึงเที่ยวชมวัดด้วยความรื่นรมย์ พอถึงเวลา 5 โมงเย็นกว่าๆ เราก็ต้องเตรียมตัวไปคืนรถมอเตอร์ไซค์ที่เช่ามาแล้ว เมื่อทำการคืนรถมอเตอร์ไซค์เรียบร้อยแล้วต้องไปหาซื้อตั๋วรถไฟเพื่อกลับกรุงเทพฯ เพราะก่อนกลับไปใช้ชีวิตที่วุ่นวายเราอยากจะซึมซับความสโลวไลฟ์ไว้ให้นานที่สุด เราโชคดีมากที่ได้ตั๋วรถไฟฟรีรอบ 18.48 นาทีพอดี เราทุกคนต่างก็หมายมั่นปั่นมือจะเก็บภาพการเดินทางด้วยรถไฟกันแบบเต็มเหนี่ยว











สำหรับคนที่กำลังคิดว่าอยากจะซึมซับความสโลว์ไลฟ์กับรถไฟรอบเย็นแล้ว บอกเลยว่าคุณคิดผิด! เพราะกว่ารถไฟจะมาแสงก็ลับฟ้าไปแล้ว คุณจะไม่เห็นวิวทิวทัศน์ข้างนอกหน้าต่างรถไฟใดๆ ทั้งสิ้น แล้วเป็นรถไฟรอบที่ผู้โดยสารเยอะมากคุณจะได้ยืนตั้งแต่อยุธยาถึงกรุงเทพฯ เลยทีเดียว ยังไม่พอแค่นี้ ในตั๋วรถไฟเขียนไว้ว่าถึงที่หมาย 20.35 แต่เวลาจริงที่ถึงคือ 21.50 จ้า ถ้ารีบจริงๆ แนะนำให้กลับโดยรถตู้ดีกว่ามาก






ยืนบนรถไฟกว่า 3 ชั่วโมงกว่าจะมาถึงหัวลำโพง ที่หัวลำโพงมีจัดนิทรรศการภาพถ่ายถวายความอาลัยจากดวงใจชาวประชา ตั้งแต่ 12-20 พ.ย. ด้วย พวกเราก็เสพภาพถ่ายและเก็บไว้ในความทรงจำก่อนที่จะแยกย้ายกลับบ้าน เพื่อเตรียมตัวทำงานในวันพรุ่งนี้กันต่อไป










ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น