วันอังคารที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2560

ขับมอเตอร์ไซค์แบบเซี้ยวๆ เที่ยวน่าน [3]


วันที่สาม วันนี้ตื่นมาด้วยความสดชื่น ทันทีที่เปิดประตูหลังห้องก็พบกับการต้อนรับที่คับคั่งของหมอกยามเช้า วันนี้เราต้องขับมอเตอร์ไซค์จากน่านเพื่อไปที่ปัวด้วยระยะทางประมาณ 79 กิโลเมตร! เช้านี้เราฝากท้องกับร้าน Sweety 9 ดูจากภายนอกร้านนี้ดูเก๋มีสไตล์ทีเดียวเพราะเป็นบ้านไม้ดูคลาสสิคมาก มื้อนั้นเราสั่งเมนูข้าวคลุกลาบหมูคั่ว และข้าวผัดน้ำพริกลงเรือ รสชาติของอาหารที่สั่งมาเรารู้สึกว่ามันไม่สุด มันไม่ครบรสอ่ะแต่ก็ไม่เลวร้ายมาก





ข้าวผัดลาบหมูคั่ว Sweety 9

ข้าวผัดน้ำพริกลงเรือ Sweety 9

จบจากร้าน Sweety 9 เราก็มาหาอะไรดื่มกันที่ร้าน COFFEE SOUND ร้านนี้เป็นร้านกาแฟที่อยู่กลางเมืองเลย ใครที่แวะกินเกี๋ยวเตี๋ยวไร้เทียมทานเสร็จจะข้ามมากินกาแฟที่ร้านนี้ก็ได้นะ แต่สำหรับแอดเห็นว่ากาแฟที่นี่เฉยๆ ไปหน่อย ถ้าอยากมานั่งชิลล์เล่นโซเชี่ยวตากแอร์คือโอเลย 







เมื่อคลายร้อนกันได้ระดับนึงแล้ว ก่อนจะขับมอเตอร์ไซค์ระยะไกลก็ขอแวะไหว้พระที่วัดศรีพันต้นสักหน่อย คือเห็นวัดนี้ตั้งแต่เมื่อวานแล้วล่ะ ดูเป็นวัดที่สวยมากๆ ตัวโบสถ์นั้นฉาบด้วยสีทองทั้งหลัง จุดเด่นนอกจากตัวโบสถ์ที่มีสีทองอร่าม บันไดทางขึ้นอุโบสถยังมีพญานาคเจ็ดเศียรประดับไว้อย่างสวยงาม ภายในวิหารก็มีจิตกรรมที่เลอค่าสวยงามไม่น้อยไปกว่าวัดมิ่งเมืองเลย เหมาะแก่การปักหมุดอย่างยิ่ง









เมื่อทำธุระเสร็จเรียบร้อยเราก็จัดแจงเตรียมตัวขับมอเตอร์ไซค์ไปปัวกัน (สำหรับคนที่ขับมอเตอร์ไซค์อย่าลืมทาครีมกันแดดโดยเด็ดขาดเพราะแดดค่อนข้างแรงเสื้อคลุมก็สำคัญเช่นกัน หมวกกันน็อคเป็นไอเท็มที่ช่วยกันหน้าดำได้ดีกว่าครีมกันแดดยี่ห้อใดๆ ซะอีก) ตอนที่แอดขับไประหว่างทางมีทำถนนด้วยจึงทำให้มีฝุ่นเยอะและถนนแฉะบางช่วงแต่ก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร เมื่อมาถึงปัวเราก็เข้าที่พักที่จองเอาไว้ตั้งแต่กรุงเทพ เราพักกันที่ม่อนปัว ที่ม่อนปัวจะมีภูมิประเทศที่ตั้งอยู่บนเนินเขา เพราะฉะนั้นเราจะได้เห็นวิวมุมสูงแบบ Bird aye view นิดๆ ซึ่งต่างจากที่ตูบนา โฮมสเตย์ และบ้านตานงค์โฮมสเตย์ที่ตั้งอยู่แนวราบ ที่พัก 3 ที่ๆ กล่าวมานี้อยู่ไกล้กันมากสามารถเดินไปมาหากันได้ใช้เวลาประมาณ 5-10 นาที ที่ประทับใจที่พักที่ม่อนปัวคือผู้ดูแล น้องกวาง ลูกสาวเจ้าของโฮมสเตย์ม่อนปัว นางน่ารักมาก มีความเทคแคร์สุด ๆ ให้คำแนะนำในการเที่ยวและให้ความช่วยเหลือเป็นอย่างดี คุณพ่อคุณแม่ก็น่ารัก มีผลไม้ในสวนมาให้กินเพลินๆ อีกด้วย














พอได้พักก้นหลังจากที่ใช้งานมาอย่างหนัก อิอิ พวกเราก็พร้อมที่จะไปตระเวนเมืองปัวกันแล้ว เนื่องจากตอนที่ขับมอเตอร์ไซค์ไปถึงปัวก็ปาเข้าไปจะบ่ายสามโมงละ ก็กะว่าจะแวะไปถ่ายรูปวัดภูเก็ตแล้วหาอะไรกินค่อยเข้ามาในที่พัก เพราะทางเข้าที่พักค่อนข้างมืดและเปลี่ยวจึงไม่อยากกลับเข้าที่พักหลังพระอาทิตย์ตกดิน แต่แพลนก็คือแพลน สามารถปรับเปลี่ยนเขียนใหม่ได้เสมอ จุดหมายแรกที่มุ่งไปคือวัดภูเก็ต วัดนี้คือยังไงต้องมาให้ได้เพราะมีความทุ่งนาสูงมาก แอดต้องการที่จะมาเสพวิวทิวทัศน์และกราบไหว้หลวงพ่อแสนปัว หลายๆ คนอาจสงสัยว่าวัดภูเก็ตทำไมไม่อยู่ภูเก็ตล่ะ แอดก็สงสัยเหมือนกันจึงได้หาข้อมูลมาจึงทราบว่า ข้างบนมีหมู่บ้านเก็ตตั้งอยู่แล้วเนื่องจากสภาพภูมิประเทศเป็นภูเขาจึงเรียกวัดนี้ว่าวัดภูเก็ตจ้า พอเราไหว้พระที่วัดภูเก็ตเสร็จเรียบร้อยก็ยังคงเหลือเวลาอยู่มากกว่าจะมืด เราเลยไปต่อกันที่ร้านกาแฟบ้านไทลื้อ















ร้านกาแฟบ้านไทลื้อนั้นค่อนข้างจะห่างจากวัดภูเก็ตพอสมควรหากวัดจากการขับมอเตอร์ไซค์ แต่เนื่องจากยังเหลือเวลาอีกพอสมควรแอดจึงบึ่งมอเตอร์ไซค์ไปชมร้านกาแฟสุดชิ้กร้านนี้สักหน่อย เมื่อมาถึงเราก็สัมผัสถึงกาแฟราคาหลักสิบและวิวหลักล้าน ร้านนี้มีความเป็นล้านนาซะมากจากที่ดูเผินๆ แต่จริงๆ แล้วเขาออกแบบมาให้มีความเป็นไทลื้อผสมล้านนาอยู่ ไฮไลท์ของที่นี่คือทางเดินไม้ไผ่ที่ทอดยาวโดยมีข้างล่างเป็นทุ่งนา ช่วงที่แอดไปหมดฤดูปลูกข้าวไปซะแล้ว เลยอดเก็บวิวต้นข้าวเขียวๆ มาฝากเลยอ่ะ แต่วิวทุ่งนาที่มีดอกเสี้ยนฝรั่งขึ้นมาประปรายก็ดูเก๋ไปอีกแบบนะ ถามถึงรสชาติกาแฟเหรอแอดบอกเลยว่าไม่ได้กิน 555 นี่ไปเอาวิวฟรีล้วนๆ เนื่องจากเย็นแล้วจะทานกาแฟก็กะไรอยู่คืนนี้อาจไม่ได้นอน หรือถ้าใครสนใจผ้าทอสไตล์ไทลื้อก็สามารถช้อปกันได้ที่ร้านผ้าทอลำดวน อยู่ใกล้ๆ ร้านกาแฟเลย เราเก็บภาพที่นี่กันจนหอมปากหอมคอก็รู้สึกหิว เพราะตั้งแต่กลางวันยังไม่มีอะไรตกถึงท้อง จึงลองหาอะไรที่มันครื้นเครงๆ กินกันดีกว่า

ว่าแล้วเราก็เปิดข้อมูลจากโทรศัพท์มือถือเพื่อนยาก ผู้เป็นกูรูบอกข้อมูลเราได้ทุกด้าน ไม่มีนายล่ะแย่เลย ข้อมูลที่โชว์บอกว่ามีที่น่าสนใจที่อยู่ไกล้กับร้านกาแฟไทลื้อคือฟาร์มเห็ดบ้านหัวน้ำ แต่เรากะว่าจะมาวันพรุ่งนี้ เอาวะถ้าขับมาอีกพรุ่งนี้มันจะไกลมากก เอาเป็นว่าคอมพลีทมิชชั่นให้หมดในวันนี้เลยดีกว่า แล้วเราก็ขับรถไปต่อกันเลย





 

ฟาร์มเห็ดบ้านหัวน้ำ ต้องอาศัยการเดินทางที่สมบุกสมบันพอสมควร เพราะทางเข้ายังเป็นทางลูกรังอยู่ และด้วยความที่อยู่บนเนินสูงทางขึ้นจึงค่อนข้างชัน สำหรับคนที่ขับมอเตอร์ไซค์ไม่ค่อยแข็ง แอดไม่แนะนำให้มาตอนค่ำๆ เพราะค่อนข้างอันตราย เรามาถึงฟาร์มเห็ดบ้านหัวน้ำก็ไกล้เวลาโพล้เพล้แล้ว ที่นี่ลูกค้าค่อนข้างคึกคัก นอกจากจะเป็นลูกค้าขาจรที่แวะมาทานข้าวแล้วยังมีลูกค้าที่มาพักที่ห้องพักของฟาร์มเห็ดบ้านหัวน้ำโดยตรงอีกด้วย ที่นี่เป็นอีกที่ๆ มีบรรยากาศดีเลยล่ะ เสียดายพอแอดมาถึงก็เห็นวิวทิวทัศน์ได้ไม่เต็มที่เสียแล้ว วันที่แอดไปคนเยอะมากเกือบจะไม่มีโต๊ะนั่งแต่ก็ได้โต๊ะว่างที่อยู่ในหลืบมุม นอกจากจะมองไม่เห็นวิวแล้วยุงยังเยอะอีกต่างหาก แต่ไม่เป็นปัญหา เพราะเรามาเพื่อกินเป็นจุดประสงค์หลัก เมื่อดูเมนูเสร็จสรรพเราก็สั่งอาหารโดยทันที

ชามะนาว ฟาร์มเห็ดบ้านหัวน้ำ

พิซซ่าเห็ด ฟาร์มเห็ดบ้านหัวน้ำ

เห็ดนึ่งน้ำพริกข่า ฟาร์มเห็ดบ้านหัวน้ำ

ซุปครีมเห็น ฟาร์มเห็ดบ้านหัวน้ำ


คนเยอะย่อมเป็นเหตุของอาหารช้าเสมอ แอดรออาหารอย่างหิวโหย หวังว่าอาหารที่สั่งไปไม่กี่อย่างจะมาเสิร์ฟให้เราบรรเทาความหิวไปได้บ้าง แต่เราคิดผิด อาหารสามอย่างที่สั่งไปมาเสิร์ฟที่โต๊ะหลังจากที่สั่งไป 55 นาที ฟังไม่ผิด สั่ง 3 อย่างรอเกือบชั่วโมงจ้า เมนูอาหารที่เราสั่งไปคือ พิซซ่าเห็ด ซุปครีมเห็ด และเห็ดนึ่งน้ำพริกข่า แต่อย่าว่าไปนะ อาหารที่นี่อร่อยดีใช้ได้เลยนะนายจ๋า (หรือหิวฟระ) กินจนหมดก็ยังไม่อิ่ม แต่จะให้รออีกชั่วโมงก็ไม่ไหว เราเลยไปหาร้านอาหารที่น้องกวางแนะนำให้ไปลองทานกัน เผื่อจะเติมเต็มพุงที่โหยหิวให้อิ่มขึ้นมาบ้าง

ที่จริงน้องกวางเค้าก็แนะนำอยู่หลายร้านเหมือนกันแต่เราเลือกร้านแรกที่เป็น Top of mind ของนางคือร้านครัวลินดา ร้านนี้แอดไม่ได้ถ่ายรูปบรรยากาศร้านเอาไว้เลย ด้วยความเหนื่อยกับการขับรถและหิวด้วยเลยลืมถ่ายไว้ พอได้ที่นั่งเราก็ขอเมนูมาสั่งกันเลย ที่ร้านครัวลินดาเราสั่งแต่อาหารแซ่บๆ ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นต้มแซ่บกระดูกอ่อน หมูมะนาว หลนเต้าเจี้ยว อาหารของร้านครัวลินดามีความจัดจ้านมากๆ ขนาดพี่ที่มาด้วยกันนางชอบกินเผ็ดนางยังต้องซูฮก เนื่องจากปากใหญ่กว่าพุงจึงทำให้ทานกันไม่หมด โอยยอิ่มพุงจะแตกไหนจะต้องขับรถกลับที่พักอีก


หลนเต้าเจี้ยว ครัวลินดา

หมูมะนาว ครัวลินดา

ต้มแซ่บกระดูกอ่อน ครัวลินดา

อย่างที่บอกว่าทางเข้าที่พักค่อนข้างมืดและเปลี่ยวแต่ก็ไม่ได้เศษเสี้ยวของถนนก่อนเข้าที่พักเลยแม้แต้น้อย นึกถึงสภาพเวลาขับรถในที่มืดมากๆ โดยเห็นเพียงพื้นข้างหน้าที่แสงไฟหน้ารถสาดบนถนนแค่นั้นอ่ะ เราไม่มีทางรู้เลยว่าจะมีอะไรโผล่มาขณะขับรถอยู่ เรื่องผีต่างๆ นาๆ ที่เคยฟังนี่ประเดประดังเขามาในหัวกันใหญ่ เราสองคนพี่น้องไม่แม้แต่จะปริมากพูดกันเลยแม้แต่น้อย พอถึงที่พักปุ๊บ โอ้ยย...โล่งเว่อร์ๆ เหมือนตายแล้วเกิดใหม่เลย 555+ ที่พักจะมีระเบียงให้นั่งคุยกันชิลๆ ด้วย เราก็นั่งกินผลไม้ไปเม้ากันไปถึงเรื่องเมื่อครู่อยู่เพลินๆ ไฟเจ้ากรรมดันดับพรึ่บ โอยหัวใจจิวาย แต่คุณลุงเจ้าของก็เข้ามาเปลี่ยนให้อย่างรวดเร็วทันใจ เมื่อเราเม้ากันหอมปากหอมคอก็เตรียมตัวนอนเพื่อพร้อมรับกับการขับรถมอเตอร์ไซค์ระยะไกลเพื่อกลับเข้าตัวเมืองในวันพรุ่งนี้


อ่านต่อ
ขับมอเตอร์ไซค์แบบเซี้ยวๆ เที่ยวน่าน [4] 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น